อร่อย...อันตราย
หวานอันตราย
น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น
ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อนๆ ด้วยแล้ว
ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย
แล้วคุณที่ชอบดื่มน้ำอัดลมรู้หรือเปล่าค่ะว่า น้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท? น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ
ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า
ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิดที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน
เช่น แอสปาแทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอท
คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อแบบหลังนี้มาดื่มน้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน
ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใสและเติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่างๆ
ที่ได้จากการสังเคราะห์ การดื่มน้ำอัดลมไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก
ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลมจะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน
หรือดื่มทุกมื้ออาหารก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น
อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลม ก็ทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด แถมกรดคาร์บอนิกที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน
ทำให้ฟันผุได้ ขณะที่คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง
อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและปวดศีรษะได้
และนอกจากดื่มน้ำอัดลม
ควบคู่ไปกับการกินอาหาร Junk Food ยังทำให้ขาดสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอยู่หลายชนิด
และในทางตรงกันข้ามก็ให้พลังงานที่มากเกินไป ไม่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย
ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะรับประทานบ่อยจนเกินไป การดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์
และแข็งแรงอย่างง่ายๆ เริ่มต้นจากอาหาร เลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ
ร่วมกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้แล้ว
และ ถ้ากิน Junk Food มื้อ ใครก็ตามให้เลือกกินผัก ผลไม้
ธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันในมื้อถัดไป
เพื่อให้สมดุลกับปริมาณไขมันและคาร์โบไฮเครต และเพิ่มใยอาหาร
![]() |
เทคนิคการกินอาหารขยะ
เพราะมันเป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ
เช่น เบอร์เกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ฮอทดอก พิซซ่า โดนัท น้ำอัดลม ลูกอม
ขนมขบเคี้ยว ที่ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปด้วย แป้ง ไขมัน น้ำตาล เกลือ
ไม่ค่อยมีวิตามิน และใยอาหารซึ่งส่วนประกอบในอาหาร Junk
Food นี่แหละที่ส่งผลกับร่างกายเรา ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
แล้วแต่ละชนิดก่อให้เกิดอะไรบ้าง ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats) : อาหารประเภททอด เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด
มักจะใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวทอด เนื่องจากว่ามีราคาค่อนข้างถูกนั่นเอง แถมยังสามารถทนต่อความร้อนหรืออุณหภูมิสูงในน้ำมันทอดได้ดีอีกด้วย
การทานอาหาร Junk Food เราจะได้รับไขมันมากกว่าที่ร่างกายต้องการสำหรับ
1 มื้อ
ถ้ากินบ่อยเกินไปอาจมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย เกลือ (Salt;Sodium) :โดยทั่วไปแล้วร่างกายของเราต้องการเพียงเล็กน้อยใน
1 วัน แต่อาหารประเภท Junk Food จะมีปริมาณโซเดียมเป็นส่วนผสมในสัดส่วนที่สูงมาก
ถ้ารับประทานเข้าไปในปริมาณมาก ก็จะทำให้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น
และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจอีกด้วย ปริมาณโซเดียมที่มากที่สุดต่อ 1 วันที่คนเราต้องการนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2,500 มก.น้ำตาล (Sugar) : น้ำอัดลม ลูกอม โดนัท
นั้นจะมีระดับน้ำตาลในปริมาณสูงมาก
การที่เราบริโภคเข้าไปในปริมาณมากย่อมส่งผลเสียโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว
อาจทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน คาร์โบไฮเครต (Carbohydrate) : เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายก็จริง
แต่หากเรากินเข้าไปมากเกินความต้องการใน 1 มื้อ
ส่วนที่เหลือใช้ก็จะเก็บสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
แล้วโรคอ้วนก็จะถามหา คราวนี้เราก็รู้แล้วว่าทำไมอาหาร Junk Food จึงไม่ให้ประโยชน์แถมบางทีจะก่อโทษกับร่างกายเราด้วยซ้ำ
สั่งชุดเล็กไว้ก่อน
ไก่ทอด หรือพิซซ่า
ควรกินร่วมกับสลัดผัก เพื่อให้ได้รับวิตามินและใยอาหารเพิ่ม
แต่ต้องเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำและใส่น้ำสลัดแต่พอควรรับประทานมันอบแทนมันฝรั่งทอดได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน
แต่ปริมาณไขมันและเกลือไม่เกินลิมิต เลือกเมนูที่มีชีสน้อยๆ มีผัก
พริกหวาน เห็ด สับปะรด มะเขือเทศ เป็น Topping ดีกว่าจะช่วยเพิ่มใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ที่แม้จะมีอยู่น้อยนิด
แต่ก็ดีกว่ารับแป้งและไขมันไปอย่างเดียวเต็มๆ
หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำอัดลมแบบเติมไม่อั้น เพราะมีทั้งน้ำตาล
และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้ซ่า คุ้มเงินก็จริงแต่ไม่คุ้มกับสุขภาพกระดูกที่อาจพรุนได้ในอนาคต
สั่งเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้สดมาดื่มจะดีกว่า อย่าเพิ่มชีส
เพิ่มแป้ง หรือสั่งเพิ่มขนาดเป็น Double, Extra, Big เพียงแค่เพิ่มเงินไม่กี่บาท
เพราะสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือไขมัน แป้ง และน้ำตาล รวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย
โรคติดหวาน เมื่อน้ำตาลคือยาเสพติดที่ถูกกฎหมาย
น้ำตาลทุกชนิดมีสารประกอบเคมีจำพวกคาร์โบไฮเดรต
ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถ้าเอากรดซัลฟิวริก
หรือกรดกำมะถันชนิดเข้มข้น ใส่ลงในน้ำตาลทรายสีขาว
กรดจะดูดน้ำออกไปจากน้ำตาลทรายเหลือแต่ถ่านสีดำ สารสังเคราะห์บางชนิดไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่มีรสหวานจัด
เช่น แซ็กคาริน และแอสปาแทม มีรสหวานราว 300 และ 200 เท่า ของน้ำตาลทรายตามลำดับ
ใช้แทนน้ำตาลได้เฉพาะในเรื่องความหวาน เรียกสารพวกนี้ว่า น้ำตาลเทียม
ทุกวันนี้แอสปาแทม เป็นที่นิยมมากกว่า แซ็กคาริน เพราะยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อคน
มีของดื่มหลายอย่างที่ใส่แอสปาแทม เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้ผง ลูกกวาด
อย่างที่บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย
ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่มีวิตามิน B และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว
แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อทุกคนที่กิน
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากหวานลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลที่พอดี
ร่างกายไม่เกิดอันตรายคือวันละ 10 ช้อนสูงสุด
ในแต่ละวันนี้เราทุกคนได้เกิน เพราะเราได้จากหลายอย่าง เช่น ในโอวัลติน 1 แก้ว มีน้ำตาล 2 ช้อน น้ำอัดลม 1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6 ช้อน
น้ำส้มคั่นไม่ใส่น้ำตาลมีน้ำตาล 4 ช้อน
โอเลี้ยงหรือกาแฟมีน้ำตาล 2 ช้อน เป็นต้น
จากเฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวันเราก็ได้รับน้ำตาลเกินแล้วคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือกสูงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น
หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ
ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน เนื้องอก
และมะเร็ง
น้ำตาลจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม
เช่น ถ้าดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ ภูมิแพ้จะรุนแรงเป็น 2 เท่าถ้าเรากินหวานด้วย
เพราะ “ เชื้อโรคทุกตัวใช้น้ำตาลเป็นอาหาร ”
ยาเสพติดที่ถูกกฎหมายหาซื้อง่ายที่สุด
เชื่อหรือไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการได้อธิบายถึงการทำงานของน้ำตาลที่ไปมีผลต่ออารมณ์เอาไว้ว่า เมื่อน้ำตาลจำนวนมากเข้าไปในร่างกาย มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น แล้วตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมา เพื่อขับน้ำตาลในเลือดส่วนเกินออกไป จนกระทั่งระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemia ในภาวะดังกล่าว Cerebrum ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ การคิดค้น พฤติกรรม จิตสำนึก และสติสัมปชัญญะ ก็จะปิดตัวลง พลังงานของสมองก็จะส่งผ่านไปยังก้านสมองซึ่งควบคุมสัญชาตญาณและกิริยาอาการดั้งเดิมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว รุนแรง ไร้เหตุผล ทำให้คนที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิดได้ง่ายขึ้นต้องยอมรับว่าเรากินกันจนเกินความเคนชินไปเสียแล้ว มีเรื่องที่เหลือเชื่อว่า “ น้ำตาล ” มีผลต่ออารมณ์ก้าวร้าว คุณเชื่อหรือไม่ ขอแนะนำให้ลองสำรวจอารมณ์ของตนเองบ้าง ว่ามีภาวะอารมณ์ก้าวร้าวบ้างหรือไม่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า “ น้ำตาล ” ที่มีรสหวานอร่อยลิ้นนั้น จะมีผลร้ายต่อระบบประสาทและภาวะอารมณ์ของคนเรา ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า ก้าวร้าว ต่อต้านสังคม หรือ อาจจะรุนแรงถึงขั้นก่ออาชญากรรมไปเลยก็ได้ เคยได้ยินคนรุ่นก่อนบอกบ้างหรือไม่ว่าอย่าเลี้ยงหมาด้วยนมข้นหวานเพราะจะทำให้มันดุร้ายมาก ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ทีน้ำตาลมากมาย เช่น กลูโคสและฟรักโทส มีในพืชและสัตว์และผลไม้ แล็กโทสมีในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ด้วยวิธีที่เรียกว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง กลูโคสเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด มีอยู่ในเลือดของสัตว์ และในน้ำเลี้ยงของพืชตามกลไกร่างกายแล้ว ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากพอ น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยนี้เรามักจะพบลูกเด็กเล็กแดงตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำน่ารักน่าชัง แต่นั้นคือสัญญาณเตือนภัยที่สารพัดโรคจะเข้ามารุมเร้าโดยที่เราไม่รู้ตัวคนอ้วนทั้งที่เริ่มอ้วนหรืออ้วนแล้วนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการควบคุมน้ำหนักไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำตาล เพราะต่อให้ระมัดระวังควบคุมไขมันขนาดไหน แต่ถ้ายังเติมน้ำตาลไม่ยั้งมือก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นกัน หลายคนประมาทพวกอาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน อาหารพวกนี้ก็จะสามารถทำให้คุณอ้วนได้ถ้ามีน้ำตาลฟรุกโตส อยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเราดูดซึมอาหารพวกนี้ได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถ้ากินน้ำตาลมากๆ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเอวจะหายไปไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดพบว่าคนไทยติดกินหวานจัดเฉลี่ยแล้วคิดเป็นคนละ 30 กก. ต่อปี มากขึ้นกว่าเท่าครึ่งของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคอาหารที่ใส่น้ำตาลมากขึ้นทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ส่งผลให้คนไทยอ้วน เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดและหัวใจตีบตัน เป็นต้น และที่น่ากลัวที่สุดคือผู้หญิงอ้วนยังมีโอกาสเป็นเบาหวานถึง 8 เท่าของคนที่ไม่อ้วน ผู้ชายอ้วนมีโอกาสเป็นเบาหวาน 5 เท่าของคนที่ไม่อ้วน นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคไขมันในเลือดสูง รวมทั้งคนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปหากอ้วนมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ ยังพบว่าข้าสรุปอาการปวดหัวเข่าเป็นอาการที่ทำให้คนอ้วนมาหาแพทย์บ่อยที่สุด เกินร้อยละ 60 เพราะเพราะมีปัญหามากกว่าครึ่งหนึ่ง บางตนมีอาการปวดข้อเท้า ทั้งยังมีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์ นอกจากนี้ระบบฮอร์โมนในร่างกายยังผิดปกติด้วย จริงอยู่ที่อาหารรสหวานทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย แต่การทานน้ำตาลมากเกินไปน่าจะเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะน้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย พอระดับน้ำตาลในเลือดได้ง่าย พอระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อวัยวะที่จะต้องหัวหมุนก็คือตับอ่อนที่จะต้องทำงานหนัก ทางออกที่ดีที่สุดคือการลดความหวานลงหน่อย หรือหากเลิกไม่ได้ก็เปลี่ยนมากินน้ำตาลแบบที่ยังไม่สกัดแทน เพราะผักหรือผลไม้ที่มีโรคหวาน จะมีไฟเบอร์ น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆที่เป็นประโยชน์ และมีกากอาหารที่ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมได้ทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ ลองเลิกทานน้ำตาลสัก 2-3 วันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับบางคนที่มักจะทานน้ำตาลในปริมาณมาก อาจจะรู้สึกหงุดหงิดสักหน่อย แต่ยิ่งเลิกยากเท่าไหร่ เวลาเลิกได้จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้นฃ
บรรณานุกรม
อาณัติ วินิทร. (2555). อร่อยอัตราย. กรุงเทพมหานคร : คลื่นอักษร