วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

อร่อย...อันตราย


หวานอันตราย

                  น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อนๆ ด้วยแล้ว ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย แล้วคุณที่ชอบดื่มน้ำอัดลมรู้หรือเปล่าค่ะว่า น้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท? น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิดที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาแทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอท คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อแบบหลังนี้มาดื่มน้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใสและเติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่างๆ ที่ได้จากการสังเคราะห์ การดื่มน้ำอัดลมไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลมจะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน หรือดื่มทุกมื้ออาหารก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลม ก็ทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด แถมกรดคาร์บอนิกที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ ขณะที่คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและปวดศีรษะได้
                  และนอกจากดื่มน้ำอัดลม ควบคู่ไปกับการกินอาหาร Junk Food ยังทำให้ขาดสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอยู่หลายชนิด และในทางตรงกันข้ามก็ให้พลังงานที่มากเกินไป ไม่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะรับประทานบ่อยจนเกินไป การดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์ และแข็งแรงอย่างง่ายๆ เริ่มต้นจากอาหาร เลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ร่วมกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้แล้ว และ ถ้ากิน Junk Food มื้อ ใครก็ตามให้เลือกกินผัก ผลไม้ ธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันในมื้อถัดไป เพื่อให้สมดุลกับปริมาณไขมันและคาร์โบไฮเครต และเพิ่มใยอาหาร





เทคนิคการกินอาหารขยะ

                  เพราะมันเป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น เบอร์เกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด  ฮอทดอก พิซซ่า โดนัท น้ำอัดลม ลูกอม ขนมขบเคี้ยว ที่ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปด้วย แป้ง ไขมัน น้ำตาล เกลือ ไม่ค่อยมีวิตามิน และใยอาหารซึ่งส่วนประกอบในอาหาร Junk Food นี่แหละที่ส่งผลกับร่างกายเรา ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง แล้วแต่ละชนิดก่อให้เกิดอะไรบ้าง ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats) : อาหารประเภททอด  เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด มักจะใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวทอด เนื่องจากว่ามีราคาค่อนข้างถูกนั่นเอง แถมยังสามารถทนต่อความร้อนหรืออุณหภูมิสูงในน้ำมันทอดได้ดีอีกด้วย การทานอาหาร Junk Food เราจะได้รับไขมันมากกว่าที่ร่างกายต้องการสำหรับ 1 มื้อ ถ้ากินบ่อยเกินไปอาจมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย เกลือ (Salt;Sodium) :โดยทั่วไปแล้วร่างกายของเราต้องการเพียงเล็กน้อยใน 1 วัน แต่อาหารประเภท Junk Food จะมีปริมาณโซเดียมเป็นส่วนผสมในสัดส่วนที่สูงมาก ถ้ารับประทานเข้าไปในปริมาณมาก ก็จะทำให้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจอีกด้วย ปริมาณโซเดียมที่มากที่สุดต่อ 1 วันที่คนเราต้องการนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2,500 มก.น้ำตาล (Sugar) : น้ำอัดลม ลูกอม โดนัท นั้นจะมีระดับน้ำตาลในปริมาณสูงมาก การที่เราบริโภคเข้าไปในปริมาณมากย่อมส่งผลเสียโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว อาจทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน คาร์โบไฮเครต (Carbohydrate) : เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายก็จริง แต่หากเรากินเข้าไปมากเกินความต้องการใน 1 มื้อ ส่วนที่เหลือใช้ก็จะเก็บสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วโรคอ้วนก็จะถามหา คราวนี้เราก็รู้แล้วว่าทำไมอาหาร Junk Food จึงไม่ให้ประโยชน์แถมบางทีจะก่อโทษกับร่างกายเราด้วยซ้ำ














สั่งชุดเล็กไว้ก่อน

                   ไก่ทอด หรือพิซซ่า ควรกินร่วมกับสลัดผัก เพื่อให้ได้รับวิตามินและใยอาหารเพิ่ม แต่ต้องเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำและใส่น้ำสลัดแต่พอควรรับประทานมันอบแทนมันฝรั่งทอดได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน แต่ปริมาณไขมันและเกลือไม่เกินลิมิต  เลือกเมนูที่มีชีสน้อยๆ มีผัก พริกหวาน เห็ด สับปะรด มะเขือเทศ เป็น Topping ดีกว่าจะช่วยเพิ่มใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ที่แม้จะมีอยู่น้อยนิด แต่ก็ดีกว่ารับแป้งและไขมันไปอย่างเดียวเต็มๆ หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำอัดลมแบบเติมไม่อั้น เพราะมีทั้งน้ำตาล และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้ซ่า คุ้มเงินก็จริงแต่ไม่คุ้มกับสุขภาพกระดูกที่อาจพรุนได้ในอนาคต สั่งเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้สดมาดื่มจะดีกว่า อย่าเพิ่มชีส เพิ่มแป้ง หรือสั่งเพิ่มขนาดเป็น Double, Extra, Big เพียงแค่เพิ่มเงินไม่กี่บาท เพราะสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือไขมัน แป้ง และน้ำตาล รวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย





โรคติดหวาน เมื่อน้ำตาลคือยาเสพติดที่ถูกกฎหมาย

                   น้ำตาลทุกชนิดมีสารประกอบเคมีจำพวกคาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถ้าเอากรดซัลฟิวริก หรือกรดกำมะถันชนิดเข้มข้น ใส่ลงในน้ำตาลทรายสีขาว กรดจะดูดน้ำออกไปจากน้ำตาลทรายเหลือแต่ถ่านสีดำ สารสังเคราะห์บางชนิดไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่มีรสหวานจัด เช่น แซ็กคาริน และแอสปาแทม มีรสหวานราว 300 และ 200 เท่า ของน้ำตาลทรายตามลำดับ ใช้แทนน้ำตาลได้เฉพาะในเรื่องความหวาน เรียกสารพวกนี้ว่า น้ำตาลเทียม ทุกวันนี้แอสปาแทม เป็นที่นิยมมากกว่า แซ็กคาริน เพราะยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อคน มีของดื่มหลายอย่างที่ใส่แอสปาแทม เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้ผง ลูกกวาด อย่างที่บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่มีวิตามิน B และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อทุกคนที่กิน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากหวานลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลที่พอดี ร่างกายไม่เกิดอันตรายคือวันละ 10 ช้อนสูงสุด ในแต่ละวันนี้เราทุกคนได้เกิน เพราะเราได้จากหลายอย่าง เช่น ในโอวัลติน 1 แก้ว มีน้ำตาล 2 ช้อน น้ำอัดลม 1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6 ช้อน น้ำส้มคั่นไม่ใส่น้ำตาลมีน้ำตาล 4 ช้อน โอเลี้ยงหรือกาแฟมีน้ำตาล 2 ช้อน เป็นต้น จากเฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวันเราก็ได้รับน้ำตาลเกินแล้วคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือกสูงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน เนื้องอก และมะเร็ง น้ำตาลจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น ถ้าดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ ภูมิแพ้จะรุนแรงเป็น 2 เท่าถ้าเรากินหวานด้วย เพราะ “ เชื้อโรคทุกตัวใช้น้ำตาลเป็นอาหาร ”




ยาเสพติดที่ถูกกฎหมายหาซื้อง่ายที่สุด

                   เชื่อหรือไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการได้อธิบายถึงการทำงานของน้ำตาลที่ไปมีผลต่ออารมณ์เอาไว้ว่า เมื่อน้ำตาลจำนวนมากเข้าไปในร่างกาย มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น แล้วตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมา เพื่อขับน้ำตาลในเลือดส่วนเกินออกไป จนกระทั่งระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemia ในภาวะดังกล่าว Cerebrum ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ การคิดค้น พฤติกรรม จิตสำนึก และสติสัมปชัญญะ ก็จะปิดตัวลง พลังงานของสมองก็จะส่งผ่านไปยังก้านสมองซึ่งควบคุมสัญชาตญาณและกิริยาอาการดั้งเดิมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว รุนแรง ไร้เหตุผล ทำให้คนที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิดได้ง่ายขึ้นต้องยอมรับว่าเรากินกันจนเกินความเคนชินไปเสียแล้ว มีเรื่องที่เหลือเชื่อว่า “ น้ำตาล ” มีผลต่ออารมณ์ก้าวร้าว คุณเชื่อหรือไม่ ขอแนะนำให้ลองสำรวจอารมณ์ของตนเองบ้าง ว่ามีภาวะอารมณ์ก้าวร้าวบ้างหรือไม่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า “ น้ำตาล ” ที่มีรสหวานอร่อยลิ้นนั้น จะมีผลร้ายต่อระบบประสาทและภาวะอารมณ์ของคนเรา ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า ก้าวร้าว ต่อต้านสังคม หรือ อาจจะรุนแรงถึงขั้นก่ออาชญากรรมไปเลยก็ได้ เคยได้ยินคนรุ่นก่อนบอกบ้างหรือไม่ว่าอย่าเลี้ยงหมาด้วยนมข้นหวานเพราะจะทำให้มันดุร้ายมาก ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ทีน้ำตาลมากมาย เช่น กลูโคสและฟรักโทส มีในพืชและสัตว์และผลไม้ แล็กโทสมีในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ด้วยวิธีที่เรียกว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง กลูโคสเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด มีอยู่ในเลือดของสัตว์ และในน้ำเลี้ยงของพืชตามกลไกร่างกายแล้ว ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากพอ น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยนี้เรามักจะพบลูกเด็กเล็กแดงตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำน่ารักน่าชัง แต่นั้นคือสัญญาณเตือนภัยที่สารพัดโรคจะเข้ามารุมเร้าโดยที่เราไม่รู้ตัวคนอ้วนทั้งที่เริ่มอ้วนหรืออ้วนแล้วนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการควบคุมน้ำหนักไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำตาล เพราะต่อให้ระมัดระวังควบคุมไขมันขนาดไหน แต่ถ้ายังเติมน้ำตาลไม่ยั้งมือก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพได้เช่นกัน หลายคนประมาทพวกอาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน อาหารพวกนี้ก็จะสามารถทำให้คุณอ้วนได้ถ้ามีน้ำตาลฟรุกโตส อยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเราดูดซึมอาหารพวกนี้ได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถ้ากินน้ำตาลมากๆ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเอวจะหายไปไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดพบว่าคนไทยติดกินหวานจัดเฉลี่ยแล้วคิดเป็นคนละ 30 กก. ต่อปี  มากขึ้นกว่าเท่าครึ่งของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคอาหารที่ใส่น้ำตาลมากขึ้นทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ส่งผลให้คนไทยอ้วน เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดและหัวใจตีบตัน เป็นต้น  และที่น่ากลัวที่สุดคือผู้หญิงอ้วนยังมีโอกาสเป็นเบาหวานถึง 8 เท่าของคนที่ไม่อ้วน ผู้ชายอ้วนมีโอกาสเป็นเบาหวาน 5 เท่าของคนที่ไม่อ้วน นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคไขมันในเลือดสูง รวมทั้งคนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปหากอ้วนมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ ยังพบว่าข้าสรุปอาการปวดหัวเข่าเป็นอาการที่ทำให้คนอ้วนมาหาแพทย์บ่อยที่สุด เกินร้อยละ 60 เพราะเพราะมีปัญหามากกว่าครึ่งหนึ่ง บางตนมีอาการปวดข้อเท้า ทั้งยังมีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์ นอกจากนี้ระบบฮอร์โมนในร่างกายยังผิดปกติด้วย จริงอยู่ที่อาหารรสหวานทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย แต่การทานน้ำตาลมากเกินไปน่าจะเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะน้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย พอระดับน้ำตาลในเลือดได้ง่าย พอระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อวัยวะที่จะต้องหัวหมุนก็คือตับอ่อนที่จะต้องทำงานหนัก ทางออกที่ดีที่สุดคือการลดความหวานลงหน่อย หรือหากเลิกไม่ได้ก็เปลี่ยนมากินน้ำตาลแบบที่ยังไม่สกัดแทน เพราะผักหรือผลไม้ที่มีโรคหวาน จะมีไฟเบอร์ น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆที่เป็นประโยชน์ และมีกากอาหารที่ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมได้ทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ ลองเลิกทานน้ำตาลสัก 2-3 วันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับบางคนที่มักจะทานน้ำตาลในปริมาณมาก อาจจะรู้สึกหงุดหงิดสักหน่อย แต่ยิ่งเลิกยากเท่าไหร่ เวลาเลิกได้จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น





บรรณานุกรม

อาณัติ วินิทร.  (2555).  อร่อยอัตราย.  กรุงเทพมหานคร :  คลื่นอักษร